วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

ผลสรุปจิตรกรรม

แบบประเมินความพึงพอใจสุนทรียศาสตร์ งานจิตรกรรม
  1. ความพึงพอใจมากที่สุด 73 คน
  2. ความพึงพอใจมาก 276 คน
  3. ความพึงพอใจปานกลาง 29 คน
  4. ความถึงพอใจน้อย 2 คน
  5. ความพึงพอใจน้อยที่สุด 0 คน

ผลสรุปกิจกรรมจากงานจิตรกรรม สรุปได้ว่า มีผู้ให้ความสนใจและพึงพอใจจำนวน 276 คน เพราะฉะนั้นแสดงว่าโครงการนี้ประสบผลสำเร็จในวิชาสุนทรียศาสตร์

ข้อเสนอแนะ สมาชิกภายในกลุ่มทุกคนให้ความตั้งใจในการทำงานดีมาก รูปแบบซุ้มสวยงาม น่าชื่นชมและสอดคล้องกับConcept

วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

ผลงานจิตรกรรมไทย

ผลงานจิตรกรรมไทย

วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

Painting Gallery

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

ผลงานจิตรกรรม

ผลงานจิตรกรรม

การรับรู้ตีความ

มนุษย์กับการรับรู้ศิลปะ

เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า ศิลปะคือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น อีกทั้งเป็นสื่อถ่ายทอดความคิดอารมณ์ความรู้สึกของศิลปินผู้สร้างให้ผู้อื่นได้มีส่วนร่วมรับรู้งานศิลปะนั้นอาจเป็นจิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม วรรณกรรมหรือนาฏศิลป์ดนตรีก็เช่นกัน นอกจากนี้งานศิลปะที่ศิลปินสร้างขึ้นย่อมแฝงด้วยความเชื่อปรัชญาและจุดมุ่งหมายที่ศิลปินต้องการให้ผู้ชมได้รับรู้ เช่นต้องการแสดงออกถึงอารมณ์ความรู้สึกของตนไม่ว่าจะเป็นความสดชื่น ยินดี โศกเศร้า เสียใจ หรือสะท้อนสภาพวิถีชีวิตของมนุษย์ในสังคมตลอดทั้งถ่ายทอดธรรมชาติทีสวยงาม เพื่อให้ผู้ชมได้รับรู้มีส่วนร่วมกับศิลปินผู้สร้าง

สามารถกล่าวได้ว่า ศิลปินเมื่อสร้างผลงานศิลปะขึ้นมา ย่อมต้องการให้ผู้อื่นรับรู้ชื่นชมและมีอารมณ์ที่สะเทือนใจร่วมกับศิลปิน ดังที่พจนานุกรมฉบับบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายของศิลปะไว้ว่า “ศิลปะคือ การแสดงออกให้ปรากฏขึ้นได้อย่างงดงาม น่าพึงชม และเกิดอารมณ์สะเทือนใจ” (ราชบัณฑิตยสถาน. 2510 : 856) ซึ่งจะยังผลให้ผู้ชมเกิดความเข้าใจซาบซึ้งเห็นคุณค่าสุนทรียะในศิลปะอีกด้วย

ถ้าพิจารณาในฐานะที่เป็นผู้ชมงานศิลปะเพื่อให้เข้าใจซาบซึ้งเห็นคุณค่า เกิดสุนทรียศิลป์แล้ว เมื่อวิเคราะห์ก็พบว่าต้องเป็นไปในลักษณะระบบกระบวนการ โดยเฉพาะกระบวนการรับรู้ของมนุษย์ ทั้งนี้เพราะมนุษย์จะเกิดความรู้ ความคิด ความเข้าใจ อารมณ์ ความรู้สึกได้นั้น ต้องเกิดจากกระบวนการรับรู้ที่มนุษย์ได้รับจากสิ่งเร้า และความต้องการที่จะรับรู้ของมนุษย์เองจึงสามารถรับรู้ได้ ยิ่งเป็นงานศิลปะการที่มนุษย์จะรับรู้ เพื่อให้เข้าใจซาบซึ้งเห็นคุณค่าเกิดสุนทรียะได้นั้นนอกจากวิเคราะห์โดยใช้หลักจิตวิทยาการรับรู้แล้ว ควรอาศัยหลักปรัชญาเข้ามาประกอบด้วย ทั้งนี้เพราะการรับรู้ในศิลปะมิใช่เกิดขึ้นได้จากประสาทสัมผัสทั้งห้าเท่านั้นยังต้องอาศัยผัสสะทั้งหมด ทางตา หู จมูก ลิ้น ผิวและจิต โดยเฉพาะจิตนับว่ามีความสำคัญยิ่ง นอกจากนี้ความเชื่อ สถานที่ เวลา ประสบการณ์ อารมณ์ความรู้สึกของผู้ชมงานศิลปะยังเป็นตัวแปรที่จะแทรกซ้อนมามีอิทธิพลต่อการรับรู้ศิลปะอีกด้วย ดังเช่นเราพบบ่อย ๆ ว่า บางครั้งเราชอบในงานศิลปะภาพเขียนหรือเพลงนี้ แต่ในบางเวลาบางอารมณ์เรากลับไม่ชื่นชมกับสิ่งที่เคยชื่นชม

ฉะนั้น เพื่อให้เข้าใจในกระบวนการรับรู้ศิลปะจึงควรพิจารณาโดยอาศัยทั้งหลักจิตวิทยาและปรัชญาประกอบเข้าด้วยกัน ผู้ที่จะรับรู้ศิลปะจึงสามารถวิเคราะห์การรับรู้ของตนได้เด่นชัดยิ่งขึ้น

จิตวิทยาการรับรู้ศิลปะ

การรับรู้เป็นกระบวนการอย่างหนึ่ง ที่ทำให้มนุษย์เกิดความรู้ ความเข้าใจ ทัศนะคติ และความรู้สึก เมื่อมนุษย์ผ่านกระบวนการรับรู้ จะแสดงจากความรู้สึกสิ่งที่ตนได้รับรู้ออกมา (โสภา ชพิกุลชัย. 2521 : 129) หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เมื่อมนุษย์ได้รับรู้ก็จะเกิดจากการเรียนรู้ในสิ่งที่ตนได้รับรู้นั้น ๆ แต่มนุษย์รับรู้ก็ด้วยความตั้งใจ (Focus) ถ้าปราศจากความตั้งใจแล้ว ย่อมไม่สามารถรับรู้เพื่อเกิดการเรียนรู้ได้ ดังเช่นเราอาจเคยมีประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเราในลักษณะทั้ง ๆ ที่เราลืมตาอยู่ แล้วมีคนเดินผ่านหน้าเราไปโดยที่เรามิได้สนใจตั้งใจที่รับรู้ ในกรณีเช่นนี้ถ้ามีใครถามว่าคนที่เดินผ่านหน้าเราไปนั้นเป็นหญิงหรือชาย เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเขาสีอะไรมีหน้าตาเป็นอย่างไร เราอาจบอกไม่ได้เลยแม้แต่เพศของผู้ที่ผ่านเราไปว่าเป็นหญิงหรือชาย ที่เป็นเช่นนี้ เพราะเราปราศจากความตั้งใจจะรับรู้ ดังนั้น ความตั้งใจที่จะรับรู้จึงเป็นความสำคัญอันดับแรกที่ทำให้มนุษย์สามารถรับรู้และเกิดการเรียนรู้ได้

เมื่อมนุษย์มีความตั้งใจ มีความพร้อมที่จะรับรู้ย่อมสามารถเกิดการเรียนรู้ได้ การเรียนรู้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม หรือทำให้มีความรู้ ความเข้าใจ ความคิด ความรู้สึก และทัศนคติเกิดขึ้นกับผู้เรียนรู้ แต่จะเกิดขึ้นมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับประสบการณ์และลักษณะการรับรู้นั้น ๆ ในทางศิลปะถือว่าประสบการณ์การรับรู้เป็นรากฐานที่ทำให้ผู้รับรู้เกิดสุนทรียศิลป์คนเราต้องสามารถรับรู้ก่อนจึงจะเกิดความรักซาบซึ้ง ในสิ่งเร้าที่เราได้รับรู้ (มะลิฉัตร เอื้ออานันท์. 2530 : 31)

ลักษณะการรับรู้ของมนุษย์เมื่อพิจารณาในแง่จิตวิทยา นักจิตวิทยามีความคิดที่แตกต่างกันออกไปตามความสนใจของแต่ละกลุ่ม เช่น กลุ่มโครงสร้างแห่งจิต (Structuralism) ผู้นำกลุ่มนี้คือ วิลเฮล์ม วุนด์ (Wilhelm Wundt) สนใจศึกษาโครงสร้างของจิตที่ประกอบด้วยจิตธาตุ (Mental Element) สองโครงสร้างใหญ่ ๆ คือ “การสัมผัส” (Sensation) คือการทำงานของอวัยวะรับสัมผัสทั้งห้าและ“การรู้สึก” (Feeling) คือการตีความแปลความหมายของการสัมผัสว่าสวยไม่สวย ดีไม่ดี ต่อมานักจิตวิทยาอีกท่านคือ ทิชเชเนอร์ (Titchener) ได้เพิ่ม“การจินตนาการ” (Imagination) คือการคิดวิเคราะห์จดจำประสบการณ์จากการสัมผัสและรู้สึกจะเห็นได้ว่ากลุ่มนี้สนใจในโครงสร้างของจิตการทำงานของจิตที่ส่งผลไปสู่การรับรู้ การเข้าใจและเกิดพฤติกรรมของมนุษย์ (กมลรัตน์ หลัวสุวงษ์. 2528 : 26-27) ฉะนั้นการรับรู้ศิลปะตามความเชื่อนักจิตวิทยากลุ่มนี้เริ่มจากการรับสัมผัสด้วยประสาทจะด้วยตามองเห็น หูได้ยินเสียงหรือผิวหนังได้สัมผัสแล้วเกิดความรู้สึกตีความแปลความหมายจากสัมผัสว่าชอบไม่ชอบในศิลปะที่เราได้รับสัมผัสนั้น จากนั้นจะเกิดจินตนาการ การคิด การวิเคราะห์ ซึ่งนำไปสู่การเข้าใจ มีความรู้เห็นคุณค่าเกิดความทราบซึ้ง และเกิดสุนทรียะในศิลปะนั้น ๆ

แนวคิดของกลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) ผู้นำของกลุ่มนี้ จอห์น บี วัตสัน(John B. Watson) กลุ่มนี้สนใจศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ที่สังเกตได้ โดยสรุปมนุษย์รับรู้ได้ดี โดยการเน้นส่วนย่อย เมื่อรับรู้ส่วนย่อยที่ละส่วนแล้ว จึงสรุปออกมาเป็นส่วนรวมภายหลัง (กมลรัตน์ หลังสุวงษ์. 2528 : 29-31) คือเป็นไปในลักษณะวิธีอุปมาน (Inductive) ดังนั้นการรับรู้ศิลปะตามความเชื่อของนักจิตวิทยากลุ่มนี้ ถ้าต้องการให้เกิดความรู้ ความคิด จิตนาการ เห็นคุณค่ามีความซาบซึ้งและเกิดสุนทรียะในศิลปะได้นั้น ผู้ชมต้องรับรู้จากส่วนย่อยรายละเอียดของงานศิลปะนั้น ๆ เสียก่อนจึงสรุปรวมภายหลัง เช่น ดูสีเส้น รูปร่าง รูปทรง องค์ประกอบตลอดถึงความละเอียดละออ เทคนิคฝีแปลงของงานศิลปะที่เราจะชื่นชม แล้วจึงสรุปความรู้ ความหมายเรื่องราวหรือ อารมณ์ความรู้สึกที่งานศิลปะนั้นต้องการแสดงออกมา ซึ่งโดยวิธีการเช่นนี้ทำให้เราสามารถรับรู้ เข้าใจ รู้คุณค่า เกิดความซาบซึ้งมีสุนทรียะในศิลปะได้

กลุ่มเกสตัลท์ (Gestalt) กลุ่มนี้แมกซ์ เวอร์โรเมอร์ เป็นผู้นำกลุ่มเชื่อเรื่องการรับรู้เพื่อการเรียนรู้ในลักษณะวิธีอนุมาน (Deductive) คือการรับรู้ส่วนร่วมแล้วจึงแยกส่วนย่อย และนอกจากนั้นการรับรู้แปลความหมายยังต้องอาศัยประสบการณ์เดิม ดังนั้นแต่ละคนอาจพบเห็นสัมผัสกับงานศิลปะสิ่งเร้าเดียวกัน แต่รับรู้ได้แตกต่างกันก็ได้ ทั้งนี้แล้วประสบการณ์ของแต่ละคน (กมลรัตน์ หลังสุวงษ์. 2528 : 31-34) ดังเช่นบางท่านได้ฟังเพลงหนึ่งแล้วบอกว่าเป็นเพลงที่ให้ความรู้สึกอ่อนหวานแต่อีกท่านได้ฟังเพลงเดียวกันแต่กลับบอกว่าเพลงนี้ให้อารมณ์เศร้าเหลือเกินเช่นนี้เป็นต้น

อย่างไรก็ตามประเด็นที่น่าสนใจ ตามทฤษฎีกลุ่มเกสตันนี้ก็คือ การรับรู้ในส่วนรวมนั้นก็คือเราสัมผัสกับสิ่งเร้าที่เป็นงานศิลปะหรืออะไรก็ตามจะเป็นไปในลักษณะรวม ๆ ก่อน คือ รับรู้แปลความสิ่งเรารับรู้นั้นในลักษณะหยาบ ๆ เช่น เราพบคนเดินผ่านเราไป เราสนใจตั้งใจที่จะรับรู้ เราก็สามารถรู้ได้ว่าผู้ที่เดินผ่านเราไปนั้นเพศชายหรือหญิง สูงต่ำผิวดำหรือขาว เหล่านี้คือการรับรู้โดยส่วนรวม และอีกประการหนึ่งที่น่าสนใจคือเรารับรู้แปลความหมาย สิ่งนั้นโดยรวมตามประสบการณ์เดิม ความชอบของเราด้วยดังเช่นภาพที่ 1

จากภาพนี้บางท่านอาจรับรู้แปลความหมายว่าเป็นภาพคนสองคนหันหน้าเข้าหากัน แต่บางท่านอาจรับรู้แปลความหมายได้ว่าเป็นภาพแจกันก็ได้ ทั้งนี้เพราะว่าเราได้นำประสบการณ์ ความชอบและการรับรู้โดยรวมมาสรุปแปลความหมายในสิ่งที่เราสัมผัสนั้นเอง ดังนั้นถ้าต้องการให้ผู้ชมรับรู้แปลความหมายได้ตรงกัน งานศิลปะหรือสิ่งเร้านั้นต้องมีความแน่นอนชัดเจน (Pragnanz) แต่โดยทั่วไปแล้วงานศิลปะบางครั้ง เราจะพบงานลักษณะที่ไม่ชัดเจนแน่นอน (No Pragnanz) ทั้งนี้เพราะเป็นเจตนาของผู้สร้างงานศิลปะนั้น ๆ ต้องการให้อิสระสำหรับผู้ชมซึ่งก็มิได้ผิดแปลกอันใดผู้ที่อยู่ในฐานะผู้ชมงานศิลปะ มีอิสระที่จะรับรู้ชื่นชมแปลความได้ตามประสบการณ์ความชอบของตนเองได้

นอกจากนี้ศิลปินผู้สร้างงานศิลปะบางท่านก็ใช้กฎแห่งความคล้ายคลึง (Law of similarity) กฎความต่อเนื่องหรือใกล้เคียง (Law of proximity) และกฎแห่งการสิ้นสุด (Law of closure) มาสร้างงานศิลปะก็มี ซึ่งทั้งสามกฎที่กล่าวมานี้ เรารับรู้แปลความลักษณะรวม ๆ ก็ได้ความหมายหนึ่งแต่ถ้าแยกส่วนย่อยก็ได้อีกความหมายหนึ่งดังเช่นภาพที่ 2


ภาพนี้ถ้าดูโดยรวมก็เป็นภาพหน้าคน แต่ถ้าแยกดูโดยละเอียดก็จะเป็นตัวเลขเช่นนี้เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การรับรู้ศิลปะในลักษณะวิเคราะห์เช่นนี้ นักสุนทรียศาสตร์บางท่านได้แย้งว่า ไม่สามารถทำให้เกิดความซาบซึ้งสุนทรียะในศิลปะได้ หรือเกิดก็ได้น้อยมาก ดังที่บล็อกเกอร์ (Blocker) ได้วิเคราะห์ความเชื่อของนักสุนทรียศาสตร์ ไว้ว่า “ปัญหาและความฉลาดของเราไม่ผสมกับอารมณ์การรับรู้ เราพบสิ่งสวยงามเราน่าจะมีความสุข แต่เพราะปัญญาของเราได้วิเคราะห์ทำให้ความสุขความสวยงามนั้นหายไป” หรือ “เราฆ่าความสวยงามนั้นไปเพราะเราใช้สติปัญญามาวิเคราะห์มัน” และ “สิ่งที่เรารู้ตอนแรกจะมีการเปลี่ยนแปลงถ้าเราวิเคราะห์มัน” (Janieewongsurawat. 2531) จะเห็นได้ว่านักสุนทรียศาสตร์บางท่านเห็นว่าการรับรู้ศิลปะเพื่อเกิดสุนทรีย์ได้นั้น ถ้าเราใช้สติปัญญาวิเคราะห์รายละเอียดมากไป จะทำให้อารมณ์ความรู้สึกจากการรับรู้ในครั้งแรกเปลี่ยนแปลง หรือมิใช่อารมณ์ความรู้สึกที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง เหล่านี้เป็นทรรศนะหนึ่งของนักสุนทรียศาสตร์บางท่านเท่านั้น แม้บล็อกเกอร์เองก็ได้ให้ทรรศนะไว้ว่า ศิลปะจะต้องใช้ทั้งอารมณ์และความรู้ มิใช่รับรู้ได้จากอารมณ์เพียงอย่างเดียว

เมื่อพิจารณาเฉพาะ “ทัศนศิลป์” ที่เป็นศิลปะที่มีวัตถุธาตุมนุษย์สามารถรับรู้ได้โดยใช้ประสาทตา คือการมองเห็นเป็นสำคัญ อารี สุทธิพันธ์ ได้แบ่งการมองเห็นออกเป็น 2 พวกใหญ่คือ

การมอง (Looking) เป็นปรากฏการณ์ธรรมดาของมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม โดยปราศจากความตั้งใจ (Focus) ซึ่งลักษณะนี้ช่วยให้เกิดการรับรู้น้อย เพราะผู้มองไม่รู้แม้กายภาพเช่น ขนาดสี รูปร่างของวัตถุธาตุที่เรามองเห็นนั้น

การเห็น (Seeing) เป็นกระบวนการรับรู้ของมนุษย์ด้วยประสาทตา สามารถรับรู้กายภาพ คือ ขนาด สี รูปร่าง หรือชี้แจงส่วนละเอียดจากสิ่งที่เห็นนั้นได้ (อารี สุทธิพันธ์.2541:25-26) อย่างไรก็ตามการมองเห็นนี้จะส่งผลให้เกิดความคิด ดังนั้นถ้าจะแบ่งการรับรู้จากที่มองเห็นที่ทำให้เกิดความรู้ ความคิด ความเข้าใจ ตลอดถึงทัศนคติ และอารมณ์ความรู้สึกแล้วก็สามารถแบ่งออกได้ 3 ระดับดังต่อไปนี้

1. การมองเห็นธรรมดา (Operation seeing) คือการมองเห็นในระดับต้น ที่ผู้เห็นจะเกิดการรับรู้เฉพาะด้านกายภาพของวัตถุธาตุ เช่น ขนาด สี รูปร่าง และเข้าใจบอกได้ว่าอะไรเท่านั้น ตามทฤษฎีความรู้ของเมเซีย (Macia) ถือว่าเป็นชั้นความรู้พื้นฐาน (Knowing that one) เท่านั้น (มะลิฉัตร เอื้ออานนท์.2530:1)

2. การรับรู้ส่วนละเอียดจะเห็นความสัมพันธ์กับประสบการณ์เดิม (Percertion Associational seeing) เป็นชั้นการเห็นที่ทำให้เกิดการรับรู้ที่ละเอียดขึ้นกว่าเดิม และเกี่ยวข้องกับการเกิดในลักษณะล้ำลึกเปรียบเทียบหาความสัมพันธ์กับประสบการณ์เดิมได้ ตามทฤษฎีความรู้ของเมเซียถือว่าเป็นความรู้ที่อยู่ในชั้นที่ 2 คือรู้ว่า (Knowing that) รู้ส่วนประกอบมีโครงสร้างอะไรบ้างมีเกณฑ์อย่างไร สามารถตรวจสอบเปรียบเทียบหลักฐานกับสิ่งต่าง ๆ ได้นับเป็นความรู้ในเชิงปริมาณ (มะลิฉัตร เอื้ออานนท์.2530:2-3) ซึ่งการรับรู้ชั้นนี้จะเกี่ยวพันกับ

ความคิดประสบการณ์ของผู้ที่มองเห็น เพราะต้องนำสิ่งที่มองเห็นนั้นคิดล้ำลึกถึงประสบการณ์เดิมหรือความรู้เดิมที่ตนมีอยู่

3. การเห็นทะลุปรุโปร่ง รู้แจ้งเห็นจริง (Pure seeing) ถือว่าเป็นการรับรู้ชั้นสุดท้ายเพราะนอกจากผู้รัยรู้จะได้ใช้ความรู้ความคิด นำประสบการณ์เดิมมาเปรียบเทียบหาความสัมพันธ์กับสิ่งที่ตนมองเห็นแล้ว ยังต้องเกี่ยวข้องกับความเชื่อ ทัศนคติของตนเองมาประกอบ เพื่อการตัดสินประเมินค่าและนอกจากนี้ยังสามารถคิดสร้างสรรค์ออกไปได้อย่างหลากหลาย

จากการพิจารณาจะเห็นได้ว่า มนุษย์รับรู้งานศิลปะด้านทัศนศิลป์ได้ก็ด้วยการมองเห็นคือตั้งใจที่จะมองให้เห็นงานศิลปะนั้น ๆ จึงทำให้มนุษย์มีความรู้ ความเข้าใจ เกิดทัศนคติ และความรู้สึกต่องานศิลปะ ซึ่งส่งผลไปสู้อารมณ์ความรู้สึกที่สะเทือนใจ เกิดสุนทรียศิลป์ได้ในอันดับต่อไป

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เป็นการวิเคราะห์การรับรู้ศิลปะของมนุษย์โดยใช้หลักจิตวิทยาเข้ามาพิจารณา ซึ่งกระบวนการรับรู้นี้นับเป็นขั้นตอนหนึ่งที่ทำให้ผู้ที่รับรู้เกิดความรู้ในสิ่งที่ตนเองได้รับรู้นั้น ส่วนเรื่องความเข้าใจ พอใจเห็นคุณค่า เกิดความซาบซึ้งหรือไม่นั้น เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องอีกระดับหนึ่งซึ่งมิได้นำมากล่าวในที่นี้ และนอกจากนี้ปัญหาเรื่อง ทำไมมนุษย์จึงต้องรับรู้ศิลปะ อะไรเป็นแรงจูงใจให้มนุษย์ต้องรับรู้ศิลปะ ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่จะมีการวิเคราะห์กันต่อไป โดยเฉพาะในแง่ของจิตวิทยามนุษย์วิทยาหรือสังคมวิทยา

การรับรู้ศิลปะเชิงปรัชญา

มนุษย์มีความเชื่อที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะในเรื่องอะไรเป็นความรู้ความจริง และมนุษย์จะหาความรู้จริงนั้นได้อย่างไร ตลอดถึงความดีความงามเมื่อมีความเชื่อที่แตกต่างกันเช่นนี้ การรับรู้ในสิ่งที่ตนเชื่อว่าคือความรู้ความจริงเท่านั้น ดังเช่นบางกลุ่มบางคนเชื่อในวัตถุ มีความเห็นว่าวัตถุธาตุเป็นความจริงที่แน่ชัดกลุ่มนี้คือกลุ่มวัตถุนิยม (Realism) แต่บางกลุ่มเชื่อในจิต เห็นว่าจิตเป็นความจริงแท้ กลุ่มนี้เป็นกลุ่มจิตนิยม (ldealism) และอีกกลุ่มเชื่อในประสบการณ์ ถือว่าประสบการณ์เท่านั้นที่ให้ความรู้ความจริงสำหรับมนุษย์กลุ่มนี้คือกลุ่มประสบการณ์นิยม (Experimentalism) และนอกจากนี้ยังมีกลุ่มอัตถิภาวะนิยม (Existentialism) กลุ่มนีโอ-โธมัสนิยม (Neo-Thomaslism) หรือกลุ่มอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ในที่นี้จะนำไปพิจารณาเฉพาะสองกลุ่มคือกลุ่มวัตถุนิยม และกลุ่มจิตนิยม ทั้งนี้เพราะมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจนในเรื่องการรับรู้ของมนุษย์

1. การรับรู้ตามความเชื่อของกลุ่มวัตถุนิยม กลุ่มนี้เชื่อว่าวัตถุหรือสสารจึงมีเป็นความจริงแท้ในตัวของมันเอง มิใช่จิตใจของมนุษย์เป็นกำหนด ดังนั้นถึงแม้มนุษย์ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องวัตถุก็ยังมีอยู่ วัตถุจะมีคุณค่าความดี ความงามอยู่ในตัวของมันเอง เมื่อมันมีความงามถึงแม้อยู่ที่ใดก็ยังมีความงาม มนุษย์สามารถรับรู้วัตถุได้ด้วยการสัมผัสโดยอวัยวะทั้ง ห้า คือ ตา หู จมูก ลิ้น และผิวหนัง (วิทย์ วิศทเวทย์. 2527 : 20-28)

ฉะนั้นงานศิลปะซึ่งเป็นวัตถุธาตุ เป็นสสารที่ต้องการที่อยู่ มนุษย์รับรู้งานศิลปะได้ก้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า หรือด้านใดด้านหนึ่งนับเป็นการรับรู้ในเชิงประจักษ์ คุณค่าของงานศิลปะขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์ของสังคม มิได้ขึ้นอยู่กับอารมณ์ ความรู้สึกของผู้ชมศิลปะ เมื่อไรเราได้ปะทะสัมพันธ์กับงานศิลปะ เราจะประเมินค่างานศิลปะโดยใช้กฎเกณฑ์ของสังคมมาเป็นเกณฑ์ตัดสิน ถ้างานศิลปะนั้น ๆ ใกล้เคียงหรือเทียบเท่ากับเกณฑ์ของสังคม งานชิ้นนั้นก็จะมีค่า มีความงามและคงค่าความงามต่อไป จนกว่าสังคมจะเปลี่ยนแปลงค่านิยมหรือกฎเกณฑ์ใหม่ขึ้นมาแทนที่กฎเกณฑ์ค่านิยมเดิม

2. การรับรู้ตามความเชื่อกลุ่มกลุ่มนิยม กลุ่มนี้มีความเชื่อของจิตว่า จิตเป็นตัวกำหนดหรือให้ความรู้ความจริงคุณค่าความงานได้ วัตถุเป็นเพียงปัจจัยภายนอกหรือตัวกระตุ้นจิตมนุษย์เท่านั้น แม้มนุษย์ไม่ได้สัมผัสก็สามารถใช้จิตคิดหาความจริงได้ หรือถ้าจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ สัมผัสทั้ง ห้า คือ ลิ้น กาย ตา หู จมูก เป็นเพียงตัวกระตุ้นภายนอกที่มีความสำคัญน้อย สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือจิตใจของมนุษย์ที่คิดหาเหตุผลแลตัดสินความจริง (วิทย์ วิศทเวทย์. 2527 : 9-19)

ดังนั้นงานศิลปะที่เป็นวัตถุธาตุ สสารเป็นเพียงสิ่งกระตุ้นมิได้มีความสำคัญ ประเด็นสำคัญอยู่ที่จิตใจของมนุษย์ผู้ชมงานศิลปะนั้น ๆ แม้คุณค่าความงามก็อยู่ที่จิตใจของผู้ชมมิใช่อยู่ที่งานศิลปะ การรับรู้งานศิลปะ มนุษย์สามารถรับรู้ด้วยจิตใจเป็นสำคัญ จิตใจเป็นตัวกำหนดให้มนุษย์ยอมรับรู้เห็นคุณค่าความงามซึ่งคุณค่าความงามนี้ มนุษย์มีแบบหรือกฎเกณฑ์กำหนดตายตัว ถ้างานศิลปะนั้น ๆ มีลักษณะรูปแบบที่ใกล้เคียงหรือเท่ากับแบบที่ได้กำหนดไว้ งานศิลปะนั้นก็มีความงามตามทรรศนะของผู้ชม ในทำนองเดียวกัน ถ้างามนศิลปะไม่ตรงกับเกณฑ์ที่กำหนดไว้ งานศิลปะนั้นก็ไม่มีคุณค่าความงาม

จะเห็นได้ว่าปรัชญาทั้งสองกลุ่มนี้ มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน กลุ่มแรกยึดถือวัตถุธารติคือความจริง เราจะรับรู้ได้จากวัตถุ ส่วนกลุ่มที่สองยึดถือว่าจิตใจให้ความจริงสำหรับเรา จิตกำหนดสิ่งที่เรารับรู้ เมื่อแตกต่างกันเช่นนี้การรับรู้ในศิลปะย่อมจะแตกต่างกันด้วย

อย่างไรก็ตามจุดเริ่มต้นที่รับรู้ศิลปะนั้น มาจากการสัมผัสอวัยวะเช่นกันทั้งสองกลุ่มแต่การรับรู้ตีความหมายนั้นแตกต่างกัน เช่น กลุ่มวัตถุนิยมแปลความจากวัตถุ รูปร่าง รูปทรง สี องค์ประกอบจังหวะลีลาเสียงที่ปรากฏให้เห็นหรือได้ยินได้ฟังจากงานศิลปะนั้น ๆ และงานศิลปะนั้น จะถ่ายทอดอารมณ์ที่มีอยู่ในตัวของมันไปสู้ผู้ชมงานศิลปะ หรือกล่าวอีกในหนึ่งก็คือ ผลงานศิลปะมีอารมณ์อยู่ในตัวของมันเอง และจะถ่ายทอดอารมณ์นั้นให้ผู้ชมได้รับรู้ นักปรัชญาที่มีความเชื่อเช่นนี้ ได้แก่ ลีโอ ตอลสตอย (Leo tostoy) เองเกิล เวลอน (Eugene veron) และซันตายาน่า (George Santayana) ส่วนกลุ่มจิตนิยมจะไม่แปลความหมายการรับรู้จากวัตถุธาตุแต่จะรับรู้แปลความโดยใช้จิตหรือความคิดเป็นสำคัญ สามารถกล่าวได้ว่ากลุ่มนี้มิได้เชื่อว่าเส้นสีเสียงที่ปรากฏในงานศิลปะนั้นมีอารมณ์ เพราะวัตถุไม่สามารถมีอารมณ์ได้ อารมณ์นั้นจะมีเฉพาะในจิตใจของมนุษย์เท่านั้น ที่เราพบเห็นสีแดงแล้วเกิดอารมณ์ตื่นเต้นนั้นมิใช่สีแดงมีอารมณ์ตื่นเต้น แต่จิตเราเองเกิดอารมณ์ตื่นเต้นเมื่อเห็นสีแดง จิตเป็นผู้กำหนดหรือเกิดอารมณ์มิใช่วัตถุหรือสีเป็นผู้กำหนดหรือแสดงอารมณ์ ผู้ที่สนับสนุนเชื่อความคิดนี้ได้แก่ คอลลิ่ง วูด (R.G.Colling wood) บล็อกเกอร์ (Block) เป็นต้น (Janiee wongurawt.2531)

ดังนั้นการที่มนุษย์เราเกิดการรับรู้เกิดสุนทรีย์ คือเกิดความรู้สึกอารมณ์ที่สะเทือนใจในงานศิลปะได้นั้น โดยสรุปแล้วมีความเชื่อในสองลักษณะใหญ่ ๆ ตามที่กีรติ บุญเจือได้สรุปไว้คือ

ก. อัตนิยม (Subjectism) สุนทรียะธาตุมิได้มีจริง ๆ แต่มนุษย์ได้กำหนดขึ้นมาเองมาตรการตัดสินสุนทรียะธาตุจึงไม่ตายตัว เป็นกลุ่มปรัชญาจิตนะยม

ข. ปรนัยนิยม (Objectivism) ถือว่าสุนทรียะธาตุมีจริง โดยไม่ขึ้นกับความคิดจิตใจของมนุษย์สุนทรียะธาตุมีมาตรการตายตัวแน่นอนในตัวเอง เป็นกลุ่มปรัชญาวัตถุนิยม (กีรติ บุญเจือ.2520 :4-6)

บทสรุป

ปัญหาที่เราพบโดยเฉพาะในเรื่องของศิลปะก็คือปัญหาการรับรู้ การชื่นชมเพื่อเกิดความซาบซึ้งเห็นคุณค่าและมีสุนทรียศิลป์ของผู้ที่จะชื่นชมศิลปะ โดยเฉพาะถ้าศิลปินผู้ผลิตงานศิลปะหรือนักวิชาการด้านศิลปะมีความเชื่อในลักษณะ “ศิลปะไม่ต้องอธิบาย เพราะงานศิลปะจะอธิบายและแสดงออกในตัวของมันเอง” อยู่เช่นนี้ โอกาสที่ประชาชนผู้ชมงานศิลปะโดยทั่ว ๆ ไปจะเข้าใจซาบซึ้งเห็นคุณค่าของศิลปะก็จะยากมากขึ้น เมื่อประชาชนไม่เข้าใจ ก็จะไม่เห็นคุณค่าศิลปะและส่งผลกระทบไปสู่วงการศิลปะด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะด้านการสนับสนุนงานศิลปะก็จะมีน้อยก่อให้เกิดปัญหาช่องว่างระหว่างศิลปินกับประชาชน ซึ่งเราจะพบเห็นอยู่เสมอ ๆ การที่ศิลปินสร้างงานศิลปะขึ้นมาก็เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ชื่นชม แต่ถ้าประชาชนไม่สามารถรับรู้ชื่นชมได้เช่นนี้คงไม่มีใครไปเสียเวลาชื่นชมในสิ่งที่ตนไม่สามารถชื่นชมรับรู้ได้เป็นแน่ ดังนั้นถ้าต้องการให้ประชาชนผู้ชมให้การสนับสนุนชื่นชมงานศิลปะ จำเป็นที่ผู้อยู่ในวงการศิลปะหรือศิลปินผู้สร้างเองต้องหาวิธีทำให้ผู้ชมสามารถรับรู้ชื่นชมงามศิลปะได้

เมื่อพิจารณาหลักการทฤษฎีความเชื่อทั้งทางด้านจิตวิทยาและปรัชญาแล้ว ก็พบว่าการที่มนุษย์เราจะรับรู้ชื่นชมงานศิลปะนั้นมิใช่สิ่งที่ยากเลย เรามีอิสระที่จะยึดถือแบบอัตนิยมหรือถ้าเหมือนผู้อื่นก็เป็นไปตามความเชื่อปรนัยนิยม ซึ่งเราสามารถอธิบายได้โดยยึดหลักปรัชญาทั้งสองหลักนี้ สำหรับการรับรู้เบื้องต้น เราก็สามารถยึดหลักจิตวิทยาการรับรู้จะเป็นในลักษณะวิธีการอนุมานรับรู้เฉพาะส่วนรวม แล้วจึงพิจารณารายละเอียดหรือวิธีอุปมานที่พิจารณารายละเอียดแล้วจึงดูภาพรวมก็ได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้แล้วแต่ความเชื่อ ความชอบของแต่ละคน ตลอดถึงโอกาสเวลาและสถานที่ ๆ เราจะได้ชื่นชมศิลปะนั้น ๆ

โดยสรุปเมื่อมนุษย์ตามธรรมชาติแล้วจะมีสมองมีความคิด และต้องการเสรีภาพ ฉะนั้นจึงให้เสรีภาพสำหรับผู้ชมทุก ๆ คนที่จะใช้จิต ใช้สมองความคิดความเชื่อ และจินตนาการของตนเองเพื่อชื่นชมศิลปะเมื่อเป็นเช่นนี้ เราผู้ชมงานศิลปะก็ควรที่ได้ใช้เต็มที่อย่างจริงจังเสียที

ประเภทของงานจิตรกรรม

ประเภทของงานจิตรกรรม

งานจิตรกรรมจำแนกได้ตามประเภทของวัสดุที่ใช้ประกอบการเขียน ดังนี้

  1. การเขียนภาพขาวดำ หรือภาพสีสีเดียว (drawing) มีน้ำหนักอ่อนแก่เกิดจากสีสีเดียว โดยไม่มีสีอื่นมาผสมด้วย เช่น เขียนด้วยดินสอดำ ดินสอถ่าน ถ่าน (charcoal) เทียนสี ชอล์กสี ฯลฯ การเขียนสีสีเดียวให้มีน้ำหนักอ่อนแก่ เรียกว่า แรเงา หรือการทำให้มีน้ำหนักแตกต่างกัน (chiaroscuro)
  2. การเขียนภาพสีน้ำ (water colour) คือ ใช้สีน้ำในหลอดตะกั่วมาระบายกับน้ำบนกระดาษ หรือบนวัสดุอื่น ซึ่งต้องใช้พื้นสีขาวหรือสี
  3. การเขียนภาพสีฝุ่น (tempera) คือ เอาสีฝุ่นมาบดกับน้ำ แล้วเอากาวผสม ใช้เขียนบนผ้า บนกระดาษ บนกระดาน บนฝาผนังปูน ปัจจุบันมีสีเทมเพอราสำเร็จ รูปบรรจุในกระป๋องขายแล้ว
  4. การเขียนภาพแบบปูนเปียก (fresco) คือ โบกปูนฝาผนังเตรียมไว้ พอหมาดๆ ก็เอาแบบร่างที่ปรุด้วยเข็มทาบลงบนนั้นแล้วเอาฝุ่นตบจนเป็นรูปร่าง แล้วจึงใช้สีฝุ่น ผสมกาวบางๆ ระบายลงไปขณะปูนยังไม่แข็งตัว เมื่อผนังแห้ง ภาพจะติดสนิท ไม่กะเทาะหรือร่อน แม้ถูกน้ำฝนก็ไม่เป็นไร ที่ยุโรปมัก นิยมเขียนภาพฝาผนังด้วยวิธีนี้
  5. การเขียนภาพบนฝาผนัง (mural painting) คือ การเขียนโดยใช้สีฝุ่นผสมกาว และเขียนบนผนังขณะปูนผนังเปียกๆ บางทีเขียนบนแผ่นกระดานไม้อัดขนาดใหญ่เอาไป ติดผนังก็เรียกว่าภาพฝาผนัง
  6. การเขียนด้วยสีชอล์ก (pastel) คือ การใช้ชอล์กสีชนิดใช้เขียนรูป เขียนบนกระดาษขาวหรือกระดาษสีต่างๆ จัดว่าเป็นงานจิตรกรรมด้วย จิตรกรเอกของโลก เช่น เดกาส์ ก็เขียนรูปด้วยสีชอล์ก ซึ่งเป็นงานอันงดงามมาก
  7. การเขียนด้วยดินสอสี คือ การใช้ดินสอสีที่มีสีครบชุดมาระบายรูป โดยเขียนบนกระดาษขาว หรือเขียนบนกระดาษสีอ่อนๆ
  8. การเขียนด้วยสีโปสเตอร์ (poster colour) เป็นสีที่คล้ายสีเทมเพอราบรรจุขวดไว้ครบทุกสี สีชนิดนี้สดใสมาก การระบายอ่อนแก่ต้องใช้สีขาวมาเป็นตัวผสม เช่นเดียวกับ สีฝุ่น ส่วนใหญ่ใช้ในงานเขียนภาพตกแต่งหรือภาพโฆษณา

ภาพจิตรกรรมในกรุวัดราชบูรณะ อยุธยา ใช้วิธีเขียนแบบ "เฟรสโก"
ที่มา : ถาม-ตอบ ศิลปะไทย (น. ณ ปากน้ำ)

ยังมีสีอีกหลายประเภท เช่น สีเทียน ซึ่งประดิษฐ์ดีขึ้นกว่าเดิม หรือสีหลอดผสมน้ำ เช่น สีอะคริลิก (acrylic) สีพลาสติก คือสีฝุ่นผสมน้ำโดยมีกาวพลาสติกผสมลงไปด้วย นิยมเอามาเขียนภาพฝาผนังกัน นอกจากนี้ยังมีการเอากระเบื้องสีเคลือบมาเรียงติดกันเป็นรูปภาพเรียก โมเสก เป็นวิธีเก่าแก่ทำกันมาตั้งแต่สมัยโรม งานศิลปะคริสเตียนรุ่นแรกๆ และบางทีก็ใช้กระจกสีมาเชื่อมด้วยตะกั่วเป็นรูปต่างๆ นิยมติดที่หน้าต่างให้แดดส่องผ่านเป็นสีอันสวยงาม นิยมทำกันในยุโรป เช่น หน้าต่างโบสถ์แบบกอทิก เป็นต้น



กระบวนการถ่ายทอดทัศนศิลป์

กระบวนการถ่ายทอดทัศนศิลป์
เมื่อเข้าใจในเงื่อนไขที่ว่า “ศิลปะ” จะต้องเป็นสิ่งที่มนุษย์ สร้างสรรค์ ขึ้นแล้ว ดังนั้น ความหมายของทัศนศิลป์ จึงหมายความถึง ผลงาน ที่มนุษย์สร้างขึ้น ให้เห็นเป็นรูปร่าง รูปทรงสองมิติ และสามมิติ ทั้งมิติจริง และมิติลวง เป็นศิลปะกินระวางเนื้อที่ และที่สำคัญคือ เป็นศิลปะที่รับรู้ และสัมผัสได้ทางการมองเห็นเป็นสำคัญ สิ่งต่อไป ที่จะต้องทำความเข้าใจก็คือ การสร้างสรรค์ผลงาน ทัศนศิลป์ ของมนุษย์นั้น มิได้เป็นไปในแนวทางหรือรูปแบบเดียวกันหมด
มนุษย์มีความแตกต่าง จากสัตว์อื่นอีกประการหนึ่งก็คือ ตรงที่รู้จัก เลือกการกระทำ ด้วยแต่ละบุคคลย่อมมี แนวความคิด ทัศนคติ พื้นฐานประสบการณ์ และเงื่อนไขอื่นแตกต่างกัน ผลงานทัศนศิลป์ ที่ถูกสร้างขึ้นก็ย่อมมีความแตกต่างกันออกไปตามรูปแบบจุดมุ่งหมาย วิธีการ โดยเฉพาะกระบวนการถ่ายทอด หรือเรียกว่าสื่อ (Media) ที่จะถ่ายทอด ความคิด จินตนาการของ ผู้สร้างงานศิลปะ ไปยังผู้รับผ่านทางการมองเห็น เพราะสิ่งนี้ จะปรากฎเป็นผลงาน ที่ทำให้ผู้พบเห็นเข้าใจ ซาบซึ้ง มีปฏิกิริยาตอบสนอง
กระบวนการถ่ายทอด มักจะเกี่ยวข้องทฤษฎี ต่าง ๆ ของการมองเห็น และ เป็นกระบวนการ ที่สามารถดัดแปลง ได้ตามความเหมาะสม ของวัสดุและเทคนิควิธีการ ดังต่อไปนี้

1. การวาดเขียน (Drawing) เป็นการถ่ายทอดรูปแบบโดยการลากเส้น หรือการใช้เส้น มีการแรเงา หรือไม่แรเงา โดยใช้ ดินสอดำ ถ่านเครยอง และ วัสดุ อื่น ๆ การวาดเขียนมีวิธีการถ่ายทอดหลายวิธี ส่วนมาก มักจะมี ระนาบรองรับ เป็นกระดาษ และเป็นระนาบ รองรับอื่น ๆ มีลักษณะเป็นสองมิติ การวาดเขียน เป็นพื้นฐานของงาน ทัศนศิลป์เกือบ ทุกประเภท เพราะ เป็นการ ถ่ายทอดความคิด ให้เป็นรูปร่างสร้าง ความเข้าใจระหว่างกัน การวาดเขียน (Drawing) ในความหมาย ของทัศนศิลป์ ต่างกับการเขียนแบบเครื่องกล (Machanical Drawing) หรือการเขียนแบบสถาปัตย์ (Architectural Drawing)ตรงที่ว่า การวาดเขียน (Drawing) เขียนเสร็จ มีความสมบูรณ์ในตัวเอง แต่การเขียนแบบอื่น ๆ เป็นแนวทาง สำหรับนำไป ปฏิบัติการ ในขั้นต่อไป เช่นนำไปเป็นต้นแบบ สร้างชิ้นงาน หรือนำไปเป็นแบบก่อสร้างได้

2. การระบายสีหรือ จิตรกรรม (Painting) เป็นการถ่ายทอดรูปแบบโดยการใช้สี ซึ่งอาจจะ อาศัยการวาดเขียน (Drawing) หรือไม่อาศัยก็ได้ การระบายสี ส่วนมากมักจะกระทำบน ระนาบรองรับเป็นกระดาษ ผ้าใบ ไม้ หรือ เป็นระนาบรองรับอื่น ๆ มีลักษณะ เป็นสองมิติ การระบายสี มีชื่อเรียกตามลักษณะของ คุณสมบัติสีที่ใช้ เช่น สีน้ำมัน สีน้ำ สีฝุ่น สีอครีลิค เป็นต้น การระบายสีหรือจิตรกรรม ซึ่งอาจมีสีเดียว (Monochromatic Painting) และหลายสี (Polychromatic Painting) นอกจากนี้ จิตรกรรม ยังมีชื่อเรียกตามตำแหน่งที่ปรากฏ และพื้นที่รองรับด้วย เช่น จิตรกรรมฝาผนัง เป็นต้น

3. การพิมพ์ (Printing) มีลักษณะคล้ายกับจิตรกรรมและการวาดเขียนผลงาน ต่างกับ ตรงที่จำนวนผลงาน เพราะ การพิมพ์สามารถผลิต ได้ มากกว่า และการพิมพ์นั้นต้องมีแม่พิมพ์ ตามจำนวนสี ที่ต้องการ พิมพ์ ถ้าพิมพ์ 3 สี ก็ต้องมีแม่พิมพ์ 3 แผ่นรูปที่เกิดเป็นภาพพิมพ์ได้จาก กระบวนการพิมพ์จาก แม่พิมพ์ต่าง ๆ กัน เช่น แม่พิมพ์นูน (Relief Process) แม่พิมพ์ร่อง (Intaglio Process) แม่พิมพ์เรียบ (Planographic Process) หรือแม่พิมพ์ตะแกรง (Stencil Process)เป็นต้น ภาพพิมพ์จะมีลักษณะกลับซ้ายเป็นขวา จากแม่พิมพ์ กล่าวคือ ผู้ทำแม่พิมพ์ ต้องออกแบบ กลับซ้ายขวาไว้ก่อน เพื่อว่าเวลาพิมพ์จะได้รูปตามต้องการ ยกเว้นการพิมพ์ตะแกรง ซึ่งรูปที่ได้ จะไม่กลับซ้ายเป็นขวา

4. ประติมากรรม (Sculpture) เป็นการถ่ายทอดสร้างสรรค์รูปทรงจากวัสดุที่ เปลี่ยนแปลง รูปทรงได้ เช่น ดิน หิน ไม้ กระจก หรือจากวัสดุสังเคราะห์อื่น ๆ ประติมากรรม เรียกชื่อตามกระบวนการ กล่าวคือ ถ้าเป็น กระบวนการเพิ่ม หรือทางบวก (Additive Process) เป็นการปั้นการขึ้นรูป ถ้าเป็น กระบวนการทาง ลบ หรือเอาส่วนที่ไม่ต้องการออก (Subtractive Process) เรียกเป็นการแกะสลัก และถ้าเป็นกระบวน การผสม คือ ทั้งทางบวกและทางลบก็เรียกว่า ประติมากรรมทั้งสิ้นประติมากรรมมีคุณค่าอยู่ที่ความกลม เป็นสามมิติ ของรูปทรง และมีชื่อเรียกต่าง ๆ กันเช่น ประติมากรรมลอยตัว (Round Relief) มองดูได้รอบด้าน ประติมากรรมนูน จากพื้นสูงขึ้นมามาก (High Relief) และนูนจากพื้นสูงเพียงเล็กน้อย (Bas-Relief)
5. สถาปัตยกรรม (Architecture) เป็นรูปทรงของสิ่งก่อสร้าง ซึ่งประกอบด้วยความคิด สร้างสรรค์ วัสดุ วิธีการ โครงสร้าง ตามความต้องการ ของสังคมและบุคคล เป็นศาสตร์ของ การก่อสร้าง สรรค์ สร้างรูปทรงหรือเป็นการ กำหนดรูปทรงในบริเวณว่าง เพื่อ ประโยชน์ใช้สอย (Limitation of space) สถาปัตยกรรมแยก เป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 3 ประการ คือ ประเภท สิ่งก่อสร้าง ที่คนเข้าไปอยู่ได้ คนเข้าไปอยู่ไม่ได้ และคนเข้าไปอยู่ชั่วคราว สถาปัตยกรรมยัง อาจรวมถึง การจัดภูมิทัศน์ สิ่งแวดล้อมด้วย
6. สื่อผสม (Mixed Media) ปัจจุบันการถ่ายทอดสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ ไม่จำกัดอยู่กับการแสดงออก ในลักษณะใด ลักษณะหนึ่ง อาจเป็นการผสมกันทั้งการวาดเขียน การระบายสี การพิมพ์ ประติมากรรม รวมทั้งการผสมผสาน ทางเทคโนโลยี ใหม่ ๆ เช่นวิดีโอ คอมพิวเตอร์ เป็นต้น และวัสดุที่ที่รองรับ ผลงาน อาจไม่ใชบนพื้นกระดาษ ผ้าใบ หรือเป็นรูปทรง 3 มิติ ธรรมดา อาจจะปรากฏอยู่บนสถาปัตยกรรม หรือภูมิประเทศ สิ่งแวดล้อม รอบตัวเรา หรือบนสื่อใหม่ ๆ ที่มีการพัฒนาตลอดเวลา

จิตรกรรม

จิตรกรรม (Painting)
เป็นผลงานศิลปะที่แสดงออกด้วยการขีดเขียน การวาด และระบายสี เพื่อให้เกิดภาพ บรรลุ วิริยาภรณ์ประภาส 1997เป็นงานศิลปะที่มี 2 มิติ เป็นรูปแบน ไม่มีความลึกหรือนูนหนา แต่สามารถเขียนลวงตาให้ เห็นว่ามีความลึกหรือนูนได้ ความงามของจิตรกรรมเกิดจากการใช้สีในลักษณะต่าง ๆ กัน

องค์ประกอบสำคัญของงานจิตรกรรม คือ
1. ผู้สร้างงาน หรือ ผู้วาด เรียกว่า จิตรกร
2. วัสดุที่ใช้รองรับการวาด เช่น กระดาษ ผ้า ผนัง ฯลฯ
3. สี เป็นสิ่งที่แสดงออกถึงเนื้อหา เรื่องราวเกี่ยวกับผลงาน

งานจิตรกรรมเป็นงานศิลปะที่เก่าแก่ดั้งเดิมของมนุษย์ เริ่มตั้งแต่การขีดเขียนบนผนังถ้ำ บนร่างกาย บนภาชนะเครื่องใช้ต่าง ๆ จนพัฒนามาเป็นภาพวาดที่ใช้ประดับตกแต่งในปัจจุบัน การวาดภาพเป็นพื้นฐานของงานศิลปะทุกชนิด ผู้สร้างสรรค์งานจิตรกรรม เรียนว่า จิตรกร(Painter)

งานจิตรกรรม แบ่งออกได้ 2 ชนิด คือ

1. การวาดเส้น (Drawing) เป็นการวาดภาพโดยใช้ปากกา หรือดินสอ ขีดเขียนลงไป แปลก กิจเฟื่องฟู 2539บนพิ้นผิววัสดุรองรับเพื่อให้เกิดภาพ การวาดเส้น คือ การขีดเขียนให้เป็นเส้นไม่ว่าจะเป็นเส้นเล็ก หรือเส้นใหญ่ ๆ มักมีสีเดียวแต การวาดเส้นไม่ได้จำกัดที่จะต้องมีสีเดียว อาจมีสีหลาย ๆ สีก็ได้ การวาดเส้น จัดเป็นพื้นฐานที่สำคัญของงานศิลปะแทบทุกชนิด อย่างน้อยผู้ฝึกฝนงานศิลปะควรได้มีการฝึผนงานวาดเส้นให้เชี่ยวชาญเสียก่อน ก่อนที่จะไปทำงานด้านอื่น ๆ ต่อไป
2. การระบายสี (Painting) เป็นการวาดภาพโดยการใช้พู่กัน หรือแปรง หรือวัสดุอย่างอื่น มาระบายให้เกิดเป็นภาพ การระบายสี ต้องใช้ทักษะการควบคุมสีและเครื่องมือมากกว่าการวาด เส้น ผลงานการระบายสีจะสวยงาม เหมือนจริง และสมบูรณ์แบบมากกว่าการวาดเส้น
ลักษณะของภาพจิตรกรรม
งานจิตรกรรม ที่นิยมสร้างสรรค์ขึ้นมีหลายลักษณะ ดังนี้ คือ
1. ภาพหุ่นนิ่ง (Sill life) เป็นภาพวาดเกี่ยวกับสิ่งของเครื่องใช้ หรือ วัสดุต่าง ๆ ที่ไม่มีการ เคลื่อนไหว เป็นสิ่งที่อยู่กับที่

2. ภาพคนทั่วไป แบ่งได้ 2 ชนิด คือ
2.1 ภาพคน (Figure) เป็นภาพที่แสดงกิริยาท่าทางต่าง ๆ ของมนุษย์ โดยไม่เน้นแสดงความ เหมือนของใบหน้า
2.2 ภาพคนเหมือน (Potrait) เป็นภาพที่แสดงความเหมือนของใบหน้า ของคน ๆ ใดคนหนึ่ง

3. ภาพสัตว์ ( Animals Figure) แสดงกิริยาท่าทางของสัตว์ทั้งหลาย ในลักษณะต่าง ๆ
4. ภาพทิวทัศน์ (Landscape) เป็นภาพที่แสดงความงาม หรือความประทับใจในความงาม ของ ธรรมชาติ หรือสิ่งแวดล้อม ของศิลปินผู้วาด ภาพทิวทัศน์ยังแบ่งเป็นลักษณะต่าง ๆ ได้อีก คือ
4.1 ภาพทิวทัศน์ผืนน้ำ หรือ ทะเล (Seascape )
4.2 ภาพทิวทัศน์พื้นดิน (Landscape)
4.3 ภาพทิวทัศน์ของชุมชนหรือเมือง (Cityscape)


5. ภาพประกอบเรื่อง (Illustration)
เป็นภาพที่เขียนขึ้นเพื่อบอกเล่าเรื่องราว หรือถ่ายทอดเหตุการณ์ ต่าง ๆ ให้ผู้อื่นได้รับรู้ โดยอาจเป็นทั้งภาพประกอบเรื่องในหนังสือ พระคัมภีร์ หรือภาพเขียนบนฝาผนัง อาคาร สถาปัตยกรรมต่าง ๆ และรวมถึงภาพโฆษณาต่าง ๆ ด้วย
6. ภาพองค์ประกอบ (Composition) เป็นภาพที่แสดงความสัมพันธ์ขององค์ประกอบของศิลปะ และ ลักษณะในการจัดองค์ประกอบ เพื่อให้เกิดความรู้สึกต่าง ๆ ตามความต้องการของผู้สร้าง โดยที่อาจไม่เน้น แสดงเนื้อหาเรื่องราวของภาพ หรือ แสดงเรื่องราวที่มาจากความประทับใจ โดยไม่ยึดติดกับความเป็นจริง ตามธรรมชาตินาๆ ชนิดนี้ ปรากฏมากในงานจิตรกรรมสมัยใหม่


7. ภาพลวดลายตกแต่ง (Decorative painting)
เป็นภาพวาดลวดลายประกอบเพื่อตกแต่งสิ่งต่าง ๆ ให้ เกิดความสวยงามมากขึ้น เช่น การวาดลวดลายประดับอาคาร สิ่งของเครื่องใช้ ลวดลายสัก ฯลฯ

วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2550

กลุ่มจิตรกรรม


อ.วิวรรธน์ จันทร์เทพ
อาจารย์ผู้สอนวิชา สุนทรียศาสตร์

1. นางสุกัญญา เสาธง
31/17 ถ. บ้านปากแรต อ. บ้านโป่ง จ. ราชบุรี Tel. 081-9411678
2. นางจันทิมา บัวน้อย
29 ม.2 ต.สวนกล้วย อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี Tel. 089-7441240
3.นางพูนสุข เกาะน้อย
67/335 ม.2 ต.คอกกระบือ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร 74000 Tel. 081-4343221
4. นางวารี ชูแสง
131 ม.9 ต.ทับสะแก อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ Tel. 087-9338026
5. นางรัชฎาพรรณ แย้มพันธุ์นุ้ย
125/934 ม.3 ต.เขาน้อย อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ Tel. 085-2920563
6. นางสาวเบญจพร ตระการธงชัย
564 ถ.ทางรถไฟตะวันตก ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม Tel. 086-5457952
7. นางจันทร์เพ็ญ สุขเบญจลาภ
6 ซ.5/1 เสมาทอง ต.คลองกระแซง อ.เมือง จ.เพชรบุรี 76000 Tel. 087-0545954
8. นางวันวิสาข์ เฉงรักษา
30/2 ม.11 ต.ท่าไม้ อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร 74110 Tel. 087-9039814
9. นางสาวสุทิสา เครือแก้ว
31 ม.3 ต.พนมทวน อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี 71140 Tel. 084-0735152
10. นางสุชิตา ธนธัญญา
60/8 ม.9 ต.ธงชัย อ.เมือง จ.เพชรบุรี Tel. 089-2352532
11. นางสาววรรณภา กิตดิโสภัทร์
12/2 ม.13 ต.บางยาง อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร 74110 Tel. 085-2999618
12. นางสาวจิตติมนต์ ศรีเอี่ยมกุลธร
98 ม.13 ต.เขาขลุง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี 70110 Tel. 084-7744357
13. นางอัมพร สิทธิจาด
69/2 ต.มหาชัย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร 74000 Tel. 087-1588055
14. นางสาวทัศวรรณ ผิวนวล
29/2 ม.8 ต.สระลงเรือ อ.ห้วยกระเจา จ.กาญจนบุรี 71170 Tel. 086-3557398
15. นางสาวน้องนุช คงทน
76 ม.1 ต.ดอนทราย อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี 70140
Tel. 086-3001259

วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2550

กลุ่มจิตรกรรม

จิตรกรรมไทย Thai Painting
จิตรกรรมไทย หมายถึง ภาพเขียนที่มีลักษณะเป็นแบบอย่างของไทย ที่แตกต่าง จากศิลปะของชนชาติอื่นอย่างชัดเจน ถึงแม้จะมีอิทธิพลศิลปะของชาติอื่นอยู่บ้าง แต่ก็สามารถ ดัดแปลง คลี่คลาย ตัดทอน หรือเพิ่มเติมจนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ ตนเองได้อย่างสวยงาม ลงตัว น่าภาคภูมิใจ และมีวิวัฒนาการทางด้านด้านรูปแบบ และวิธีการมาตลอดจนถึงปัจจุบัน ซึ่งสามารถพัฒนาต่อไปอีกในอนาคต ลายไทย เป็นส่วนประกอบของภาพเขียนไทยใช้ตกแต่งอาคาร สิ่งของ เครื่องใช้ ต่าง ๆ เครื่องประดับ ฯลฯ เป็นลวดลายที่มีชื่อเรียกต่าง ๆ กันซึ่งนำเอารูปร่างจาก ธรรมชาติมาประกอบ เช่น ลายกนก ลายกระจัง ลายประจำยาม ลายเครือเถา เป็นต้นหรือเป็นรูปที่มาจากความเชื่อและคตินิยม เช่น รูปคน รูปเทวดา รูปสัตว์ รูป ยักษ์ เป็นต้น จิตรกรรมไทยเป็นวิจิตรศิลป์อย่างหนึ่ง ซึ่งส่งผลสะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมอันดี งามของชาติ มีคุณค่าทางศิลปะแลเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาค้นคว้า เรื่องที่เกี่ยวกับ ศาสนา ประวัติศาสตร์ โบราณคดี ชีวิตความเป็นอยู่ วัฒนธรรมการแต่งกาย ตลอด จนการแสดงการเล่มพื้นเมืองต่าง ๆ ของแต่ละยุคสมัยและสาระอื่น ๆ ที่ประกอบกัน เป็นภาพจิตรกรรมไทย งานจิตรกรรมให้ความรู้สึกในความงามอันบริสุทธิ์น่าชื่นชม เสริมสร้างสุนทรียภาพขึ้นในจิตใจมวลมนุษยชาติได้โดยทั่วไป วิวัฒนาการของงาน จิตรกรรมไทยแบ่งออกตามลักษณะรูปแบบทางศิลปกรรม ที่ปรากฎในปัจจุบันมีอยู่ 2 แบบ คือ

จิตรกรรม

1. จิตรกรรมไทยแบบประเพณี (Thai Traditional Painting) เป็นศิลปะที่มีความประณีตสวยงาม แสดงความรู้สึกชีวิติจิตใจและความเป็นไทย ที่มีความอ่อนโยน ละมุนละไม สร้างสรรค์สืบต่อกันมาตั้งแต่อดีต จนได้ลักษณะ ประจำชาติ มีลักษณะประจำชาติที่มีลักษณะ และรูปแบบเป็นพิเศษ นิยมเขียนบน ฝาผนังภายในอาคารที่เกี่ยวกับพุทธศาสนา และอาคารที่เกี่ยวกับบุคคลชั้นสูง เช่นโบสถ์ วิหาร พระที่นั่ง วัง บนผืนผ้า บนกระดาษ และบนสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ โดยเขียนด้วยสีฝุ่น ตามกรรมวิธีของช่างเขียนไทยแต่โบราณ เนื้อหาที่เขียนมักเป็น เรื่องราวเกี่ยวกับอดีตพุทธ พุทธประวัติ ทศชาติชาดก ไตรภูมิ วรรณคดีและชีวิตไทย พงศาวดารต่าง ๆ ส่วนใหญ่นิยมเขียนประดับฝนังพระอุโบสถ วิหารอันเป็นสถานที่ ศักดิ์สิทธิ์ประกอบพิธีทางศาสนา ลักษณะจิตรกรรมไทยแบบประเพณีเป็นศิลปะ แบบอุดมคติ (Idealistic) ผนวกเข้ากับเรื่องราวที่กึ่งลึกลับมหัศจรรย์ ซึ่งคล้ายกับงาน จิตรกรรมในประเทศแถบตะวันออกหลาย ๆ ประเทศ เช่น อินเดีย ศรีลังกา จีน และ ญี่ปุ่น เป็นต้น เป็นภาพที่ระบายสีแบนเรียบ ด้วยสีค่อนข้างสดใส และมีการตัดเส้น เป็นภาพ 2 มิติ ให้ความรู้สึกเพียงด้านกว้างและยาว ไม่มีความรู้และไม่มีการใช้แสง และเงามาประกอบ จิตรกรรมไทยแบบประเพณีมีลักษณะพิเศษในการจัดวางภาพ แบบเล่าเรื่องเป็นตอน ๆ ตามผนังช่องหน้าต่าง โดยรอบโบสถ์ วิหาร และผนังด้าน หน้าและหลังพระประธาน ภาพจิตรกรรมไทยมีการใช้สีแตกต่างกันออกไปตามยุค สมัย ทั้งเกรงค์ และหหุรงค์ โดยเฉพาะการใช้สีหลาย ๆ สีแบบพหุรงค์นิยมมากใน สมัยรัตนโกสินทร์ เพราะได้สีจากต่างประเทศที่เข้ามาติดต่อค้าขายด้วย ทำให้ภาพ จิตรกรรมไทยมีความสวยงามและสีสันที่หลากหลายมากขึ้น รูปแบบลักษณะตัวภาพในจิตรกรรมไทยซึ่งจิตรกรไทยได้สร้างสรรค์ออกแบบไว้ เป็นรูปแบบอุดมคติที่แสดงออกทางความคิดให้สัมพันธ์กับเนื้อเรื่องและความสำคัญ ของภาพ เช่น รูปเทวดา นางฟ้า กษัตริย์ นางพญา นางรำ จะมีลักษณะเด่นงามสง่า ด้วยลีลาอันชดช้อย แสดงอารมณ์ความรู้สึกปิติยินดี หรือเศร้าโศกเสียใจด้วยอากัป กิริยาท่าทาง ถ้าเป็นรูปยักษ์ มาร ก็แสดงออกด้วยท่างทางที่บึกบึน แข็งขัน ส่วนพวก วานรแสดงความลิงโลด คล่องแคล่วว่องไวด้วยลีลาท่วงท่าและหน้าตา สำหรับพวก ชาวบ้านธรรมดาสามัญก็จะเน้นความตลกขบขัน สนุกสนานร่าเริงหรือเศร้าเสียใจ ออกทางใบหน้า ส่วนช้างม้าเหล่าสัตว์ทั้งหลายก็มีรูปแบบแสดงชีวิตเป็นธรรมชาติ ซึ่งจิตรกรไทยได้พยายามศึกษา ถ่ายทอดอารมณ์ สอดแทรกความรู้สึกในรูปแบบได้ อย่างลึกซึ้ง เหมาะสม สวยงาม เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชนชาติไทยที่น่าภาคภูมิใจ สมควรจะได้อนุรักษ์ สืบทอดให้เป็นมรดกของชาติสืบไป

จิตรกรรม

2. จิตรกรรมไทยแบบร่วมสมัย (Thai Contempolary Painting)
จิตรกรรมไทยร่วมสมัย เป็นผลมาจากความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการของโลก ความเจริญทางการศึกษา การคมนาคม การพาณิชย์ การปกครอง การรับรู้ข่าวสาร ความเป็นไปของโลกที่อยู่ห่างไกล ฯลฯ เหล่านี้ล้วนมีผลต่อความรู้สึกนึกคิด และ แนวทางการแสดงออกของศิลปินในยุคต่อๆ มา ซึ่งได้พัฒนาไปตามสภาพเวดล้อม ความเปลี่ยนแปลงของชีวิต ความเป็นอยู่ ความรู้สึกนึกคิด และความนิยมในสังคม สะท้อนให้เห็นถึงเอกลักษณ์ใหม่ของวัฒนธรรมไทยอีกรูปแบบหนึ่ง อย่างมีคุณค่า เช่นดียวกัน อนึ่ง สำหรับลักษณะเกี่ยวกับจิตรกรรมไทยร่วมสมัยนั้น ส่วนใหญ่เป็น แนวทางเดียวกันกับลักษณะศิลปะแบบตะวันตกในลัทธิต่าง ๆ ตามความนิยมของ ศิลปินแต่ะละคน

จิตรกรรม

ความสำคัญของจิตรกรรมไทย
จิตรกรรมไทยเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลแบบสหวิทยาการ ถือได้ว่าเป็นแหล่งขุม ความรู้โดยเฉพาะเรื่องราวจากอดีตที่สำคัญยิ่ง แสดงให้เห็นถึงความเป็นชนชาติที่มี อารยธรรมอันเก่าแก่ ยาวนาน ประโยชน์ของงานจิตรกรรมไทย นอกจากจะให้ความ สำคัญในเรื่องคุณค่าของงานศิลปะแล้ว ยังมีคุณค่าในด้านอื่น ๆ อีกมาก ดังนี้ 1. คุณค่าในทางประวัติศาสตร์
2. คุณค่าในทางศิลปะ
3. คุณค่าในเรื่องการแสดงเชื้อชาติ
4. คุณค่าในทางสถาปัตยกรรม
5. คุณค่าในเชิงสังคมวิทยา
6. คุณค่าในด้านโบราณคดี
7. คุณค่าในการศึกษาประเพณีและวัฒนธรรม
8. คุณค่าในการศึกษาเรื่องทัศนคติค่านิยม
9. คุณค่าในการศึกษานิเวศวิทยา
10.คุณค่าในการศึกษาเรื่องราวทางพุทธศาสนา
11. คุณค่าในทางเศรษฐกิจการท่องเที่ยว